ทำหมันชาย
VASECTOMY
การทำหมันชาย เป็นการคุมกำเนิดประเภทถาวรที่ง่ายและได้ผลดีในเพศชาย โดยวิธี การตัดและผูกท่อทางเดินของ เชื้ออสุจิที่มาจากลูกอัณฑะทั้งสองข้าง เริ่มทำเป็นครั้งแรก ในประเทศสหรัฐอเมริการาวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ปัจจุบันคู่สมรส กว่าร้อยละ 7 - 15 จะ เลือกการทำหมันชายนี้เป็นวิธีการคุมกำเนิด แม้จะง่าย ปลอดภัย และมีภาวะแทรกซ้อนน้อย แต่กลับมีสัดส่วนการใช้เป็นวิธีการคุมกำเนิดน้อยกว่า เพียง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับการทำหมัน หญิงเท่านั้น เนื่องจากความเชื่อและความเข้าใจผิดต่างๆ ที่ว่า การทำหมันชายจะทำเกิด อาการอ่อนเพลียไม่มีแรงจนไม่สามารถทำงาน หนักเป็นปกติได้ ที่สำคัญทำให้พลังหรือ สมรรถภาพทางเพศเสื่อมถอยลง การทำหมันชายนั้น จัดเป็นหัตถการที่ไม่จำเป็นต้องวาง ยาสลบระหว่างทำผ่าตัด ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ก็เพียงพอ และหลังเสร็จสิ้นการผ่าตัด สามารถกลับบ้านหรือกลับออกไปปฏิบัติงานได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องรับไว้รักษาใน โรงพยาบาล

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำหมันชาย
คู่สมรสโดยเฉพาะเพศชายที่เลือกคุมกำเนิดด้วยการทำหมันชายนั้น ควรมีความเข้า ใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำหมันชาย ก่อนการตัดสินใจ และจะช่วยลดความวิตกกังวลต่างๆ ลงในระหว่างและภายหลังการทำหมันชายอีกด้วย ความเข้าใจที่ถูกต้อง ต่อการทำหมัน ชาย มีดังนี้
1. การทำหมันชายเป็นการผ่าตัดและผูกท่อทางเดินของเชื้ออสุจิ เพื่อป้องกันไม่ให้ มีเชื้ออสุจิปนออกมาในน้ำกามที่หลั่งออกมา หาใช่การตัดเอาลูกอัณฑะออกเพื่อตอนไม่
2. การทำหมันชายไม่มีผลทำให้พละกำลังการทำงานหนักตามปกติลดลง
3. การทำหมันชายไม่มีผลทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง ความรู้สึกต้องการและ ความพึงพอใจทางเพศ การแข็งตัวขององคชาติ ตลอดจนการเข้าถึงจุดสุดยอดจนหลั่ง น้ำกามนั้นจะเป็นปกติ
4. การทำหมันชายเป็นการคุมกำเนิดประเภทถาวร การผ่าตัดแก้หมันในภายหลัง จึงได้ผลตั้งครรภ์ไม่ถึงร้อยเปอร์เซนต์ หากยังต้องการมีบุตรอีกควรเลือกใช้วิธีการคุม กำเนิดประเภทชั่วคราวอื่นแทน
5. การทำหมันชายมีอัตราความสำเร็จของการคุมกำเนิดไม่ถึงร้อยเปอร์เซนต์ แต่มี อัตราความล้มเหลวของ การคุมกำเนิดต่ำมากเมื่อเทียบกับวิธีการคุมกำเนิดอื่นๆ
การเตรียมตัวก่อนการทำหมันชาย
คู่สมรสที่เลือกการทำหมันชายเป็นวิธีคุมกำเนิด ควรมีบุตรมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 คนขึ้นไป เนื่องจากการผ่าตัดแก้หมันชายเพื่อต้องการมีบุตรอีกในภายหลังนั้น ได้ผลตั้งครรภ์ไม่ถึงร้อยเปอร์เซนต์ บุตรคนสุดท้องควรมีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป เนื่องจากเด็กในขวบปีแรกมักจะป่วย เป็นโรคอันเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ง่าย
ประวัติโรคประจำตัวที่สำคัญ ควรระวังและต้องเรียนให้แพทย์ทราบทุกครั้ง ได้แก่ ภาวะเลือดออกผิดปกติและเลือดแข็งตัวช้า เช่น มีจ้ำเลือดหรือห้อเลือดตาม ตัว ประวัติเคยแพ้ยาโดยเฉพาะยาชาจากการผ่าตัดครั้งก่อน ซึ่งแพทย์จะได้ใช้ เป็นข้อมูลเลือกวิธีการผ่าตัดทำหมันที่เหมาะสมต่อไป
โรคติดเชื้อต่างๆ ที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ชายภาย นอก ได้แก่ ตุ่มหนองที่ผิวหนังถุงอัณฑะ หูดที่องคชาติ เป็นต้น ควรจะรับรักษา ให้เรียบร้อยก่อน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนติดเชื้อเกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัด ทำหมันชาย การเตรียมตัวโกนขนรอบบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก เพื่อความสะดวกและ สะอาดระหว่างการผ่าตัดทำหมัน การดูแลปฏิบัติตัวหลังการทำหมันชาย เนื่องด้วยหลังเสร็จสิ้นการทำหมันชายผู้รับการทำหมันสามารถกลับบ้านหรือกลับ ออกไปปฏิบัติงานได้เป็นปกติ การดูแลปฏิบัติตัวด้วยตนเองจึงมีความสำคัญ เพื่อป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่อาจเกิดขึ้น การปฏิบัติตัวเหล่านี้ ได้แก่
1. ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณแผลผ่าตัดที่ถุงอัณฑะในวันแรกหลังการผ่าตัด เพื่อช่วยลดอาการบวม ความเจ็บปวด และป้องกันการเกิดห้อเลือด
2. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักหรือยกของหนักเป็นเวลา 3 วัน
3. งดการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์หลังทำ หมันชายทันทีนั้น จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเจริญเข้าต่อกันของท่อทางเดินของ เชื้ออสุจิที่ตัดและผูกแยกจากกันแล้ว ทำให้การคุมกำเนิดล้มเหลว
4. ใช้การคุมกำเนิดชั่วคราวประเภทอื่นแทนหากต้องการมีเพศสัมพันธ์ กระทั่ง ตรวจพบว่าเป็นหมันโดยถาวรคือ ไม่พบเชื้ออสุจิในน้ำกามที่หลั่งออกมา
5. ควรรับการตรวจ น้ำกามที่หลั่งออกมาภายหลังทำหมันชายไปแล้ว 4-6 สัปดาห์ เพื่อความแน่ใจว่าเป็นหมันโดยถาวร คือไม่พบเชื้ออสุจิ และควรตรวจติดต่อกัน 2 ครั้งเพื่อความมั่นใจ ระยะเวลาการเป็นหมันโดยถาวรหลังทำหมันชาย การเป็นหมันโดยถาวร หลังทำหมันชายนั้น หมายถึง การตรวจไม่พบเชื้ออสุจิใน น้ำกามที่หลั่งออกมา ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งของการหลั่งน้ำกามออกมา มากกว่า ระยะเวลาหลังการทำหมันชาย โดย
ผู้ที่ทำหมันชายกว่าร้อยละ 80-90 จะตรวจไม่พบเชื้ออสุจิในน้ำกามที่หลั่งออกมา ภายหลังที่มีการหลั่งน้ำกามออกไปแล้ว 12-15 ครั้ง
ผู้ที่ทำหมันชายกว่าร้อยละ 80 จะตรวจไม่พบเชื้ออสุจิในน้ำกามที่หลั่งออกมาหลัง การทำหมันแล้ว 6 สัปดาห์ โดยไม่สัมพันธ์เกี่ยว ข้องกับความบ่อยครั้งของการหลั่ง น้ำกาม
เชื้ออสุจิที่เหลือค้างอยู่ในท่อทางเดินของเชื้ออสุจิ จะสูญเสียความสามารถในการ เคลื่อนไหวใน 3 สัปดาห์ภายหลังทำหมันชาย
ไม่ควรตรวจพบเชื้ออสุจิในน้ำกามที่หลั่งออกมา ภายหลังทำหมันชายแล้ว 3 เดือน หากตรวจพบและยังมีการเคลื่อนไหว อยู่ แสดงว่าเกิดความล้มเหลวในการผ่าตัด ทำหมันชาย
การทำหมันชายเพื่อการคุมกำเนิด มีความล้มเหลวน้อยกว่าร้อยละ 1 ทั้งนี้จะขึ้น อยู่กับเทคนิควิธีการตัดและผูกท่อทางเดิน ของเชื้ออสุจิ รวมทั้งประสบการณ์ความ ชำนาญของแพทย์ที่ทำ
ภาวะแทรกซ้อนหลังทำหมันชาย
พบได้ประมาณร้อยละ 1 ของผู้รับการทำหมันชาย ส่วนใหญ่จะเป็นภาวะแทรก ซ้อนเพียงเล็กน้อย และสามารถให้การรักษาตามอาการ ในบางรายอาจต้องรับตัวเข้า รักษาในโรงพยาบาล ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ นี้ จะเกิดขึ้นมากน้อยขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความชำนาญของแพทย์ที่ทำผ่าตัด ได้แก่
ห้อเลือด พบบ่อยประมาณร้อยละ 1 ของผู้รับการทำหมันชาย มีสาเหตุจาก การทำบาดเจ็บต่อเส้นเลือดที่อยู่โดยรอบท่อทางเดินของเชื้ออสุจิ ระหว่างการ ฉีดให้ยาชาเฉพาะที่ หรือระหว่างการผ่าตัดแยกท่อทางเดินของเชื้ออสุจิและ จับผูกเส้นเลือดไม่ดีพอ ถ้ามีขนาดเล็กจะดูดซึมหายไปได้เองภายในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หากมีขนาดใหญ่และมีอาการปวดมาก ควรมาพบแพทย์ซึ่งอาจ< ต้องทำผ่าตัดควักเอาห้อเลือดออก และจับผูกตำแหน่งเส้นเลือดที่เป็นสาเหตุ
แผลผ่าตัดติดเชื้อ พบได้น้อยมากในปัจจุบันและมักพบร่วมกับการเกิดห้อ เลือด โดยแผลผ่าตัดที่ติดเชื้อจะมีอาการบวมแดง และปวดเจ็บเวลากดหรือนุ่ง กางเกง บางรายที่เป็นมากอาจพบมีหนองไหลออกมา หากเกิดอาการดังกล่าว ควรมาพบแพทย์โดยทันทีเพื่อให้การรักษา
การอักเสบของท่อทางเดินของเชื้ออสุจิที่ติดกับลูกอัณฑะ พบ ประมาณ 1-3 รายใน 500 รายของผู้รับการทำหมันชาย สาเหตุส่วนใหญ่เกิด จากการบวมอักเสบ เนื่องจากความดันภายในท่อที่เพิ่มสูงขึ้นภายหลังการตัด และผูก ให้รักษาโดยการนั่งแช่ในน้ำอุ่นวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ใส่เครื่องช่วย พยุงถุงอัณฑะที่นักกรีฑาใช้กัน และให้ยาลดอาการอักเสบประเภท NSAIDs อาการเหล่านี้จะหายไปได้เองภายใน 6-12 สัปดาห์
ก้อนในถุงอัณฑะ เป็นก้อนเชื้ออสุจิที่เกาะอยู่รอบๆปลายท่อทางเดินของเชื้อ อสุจิที่ตัดและผูกไว้ เกิดจากเชื้ออสุจิรั่วออกมาและเกิดการอักเสบขึ้นโดยรอบ จน จับตัวกันเป็นก้อนห่อหุ้มปลายท่อนั้น พบประมาณ 2 ใน 3 ของผู้รับการทำหมัน ชาย แต่จะตรวจคลำพบเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ก้อนในถุงอัณฑะนี้จะไม่ก่อให้เกิด อาการเจ็บปวด แต่จะเป็นสาเหตุสำคัญของการเจริญเข้าเชื่อมต่อกันของท่อทาง เดินของเชื้ออสุจิ ทำให้การคุมกำเนิดล้มเหลว มักพบภายใน 12 สัปดาห์หลังการ ทำหมัน แต่อาจเกิดหลังจากนั้นนานนับ 10 ปี มีข้อดีคือ ทำให้ความดันภายใน ท่อลดลง เพิ่มโอกาสของการตั้งครรภ์ภายหลังการผ่าตัดต่อหมัน
ปวดหน่วงเรื้อรังที่อัณฑะ พบประมาณ 1 ใน 2,000 รายของผู้รับการทำ หมันชาย มีสาเหตุจากความดันที่เพิ่มขึ้นภายในท่อที่ติดกับลูกอัณฑะ อาการปวด หน่วงนี้เป็นไม่มากและต้องการการรักษาตามอาการเป็นบางครั้งเท่านั้น ในรายที่ มีอาการปวดมากอาจต้องให้การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อหมันกลับเป็นอย่างเดิม หรือทำผ่าตัดเอาท่อที่ติดกับลูกอัณฑะออกหมด
ผลที่ตามมาหลังการทำหมันชาย ผู้ที่ทำหมันชายส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงอายุ 30-40 ปี ผลที่เกิดขึ้นตามมาภายหลัง จึงนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่จากการสำรวจติดตามผลในผู้ที่ทำหมันชายไป แล้วนานกว่า 25 ปีมากกว่า 10,000 ราย ไม่พบว่าทำให้เกิดความผิดปกติในระบบการ ทำงานต่างๆ ของร่างกาย ยกเว้น
1. ระบบการสืบพันธุ์ โดยความดันที่เพิ่มขึ้นหลังทำหมันชายจะทำให้ท่อที่ติดกับ ลูกอัณฑะโปร่งพองขึ้น เกิดรอยแตกเล็กๆ และการจับเกาะตัวเป็นก้อนของเชื้ออสุจิ กระจัดกระจาย ส่งผลให้เกิดการ อุดตันขึ้นจากการกดทับภายนอกท่อ ทั้งนี้พบว่าท่อ เหล่านี้จะเสี่ยงต่อการอุดตันอย่างสิ้นเชิงหลังทำหมันชายไปแล้ว 10 ปี แต่จะไม่ส่งผล ต่อเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศในลูกอัณฑะ ระดับฮอร์โมนเพศชายในกระแส ไหลเวียนโลหิตจึงเป็นปกติ และไม่มีผลต่อสมรรถภาพทางเพศ นอกจากนี้ปริมาณ น้ำกามที่หลั่งออกมาก็เป็นรวมทั้งสีและกลิ่นก็ปกติ เนื่องจากน้ำกามกว่าร้อยละ 90-95 ที่หลั่งออกมานั้น มาจากสารคัดหลั่งของต่อมลูกหมากและถุงเก็บเชื้ออสุจิที่อยู่หลังต่อ กระเพาะปัสสาวะ
2. ระบบสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอม โดยปกติเชื้ออสุจิจะถูกแยกจากระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกายจากสิ่งกีดขวางที่อยู่ ภายในลูกอัณฑะ ความดันภายในท่อที่เพิ่มสูงขึ้นหลังทำหมันชายนั้น จะทำให้สิ่งกีด ขวางเหล่านี้ถูกทำลายลง เชื้ออสุจิจึงรั่วไหลเข้า สู่ระบบไหลเวียนโลหิต และแสดงตัว เป็นสิ่งแปลกปลอมหนึ่งของร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างภูมิต้าน ทานขึ้น เพื่อจับรวมตัวกับเชื้ออสุจิและขจัดออก ภูมิต้นทานนี้จะค่อยๆ ลดหายไปได้เอง ในระยะเวลา 2-4 ปีหลังทำหมันชาย มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังมีปรากฏอยู่หลังจากนั้น และบางส่วนจะพบปรากฎในน้ำกามที่หลั่งออกมา โดยจะไม่มีผลต่อการทำงานใน ระบบต่างๆ ของร่างกาย ยกเว้นอาจมีผลทำให้โอกาสการตั้งครรภ์หลังการทำผ่าตัด ต่อหมันชายลดลง
การทำหมันชายกับมะเร็งในระบบอวัยวะสืบพันธุ์ชาย ความเชื่อที่ว่าความดันที่เพิ่มขึ้นภายในท่อทางเดินของเชื้ออสุจิหลังการทำหมันชาย น่าจะมีผลต่อการทำงานของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ โดยเฉพาะลูกอัณฑะและต่อมลูกหมาก ซึ่งจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์เหล่านี้มากขึ้น แต่จากการศึกษา ติดตามความสัมพันธ์ดังกล่าว กลับพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน โดย
1. ในต่อมลูกหมาก เชื่อกันว่าจะทำให้ต่อมลูกหมากสร้างและขับสารคัดหลั่งออกมาลดลง เซลล์ภายในจึงมีการเจริญเติบโตเพิ่มขนาดขึ้น ร่วมไปกับการเพิ่มขึ้นฮอร์โมนเพศชายใน กระแสไหลเวียนโลหิต ส่งผลกระตุ้นและสนับสนุนโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มากขึ้น แต่จากการศึกษาติดตามกระทั่งปัจจุบันพบว่า การทำหมันชายจะไม่มีผลไปเปลี่ยน แปลงทั้งการทำงานของต่อมลูกหมาก และระบบต่อมไร้ท่อทั้งต่อมใต้สมองและลูกอัณฑะ สาเหตุที่ตรวจพบมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ที่ทำหมันชายมากกว่าปกตินั้น น่าจะมาจากผู้ที่ ทำหมันชาย มักจะมา พบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพบ่อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการ ทำหมัน และได้รับการตรวจคลำ ต่อมลูกหมากทางทวารหนักบ่อยกว่า จึงทำให้มีโอกาส ตรวจพบมากกว่าคนปกติ
2. ในลูกอัณฑะ เชื่อกันว่าความดันที่เพิ่มขึ้นภายในท่อหลังทำหมันชาย จะมีผลต่อการสร้าง เชื้ออสุจิภายในลูกอัณฑะ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการก่อเกิดมะเร็งของลูกอัณฑะเพิ่มมากขึ้น จากการศึกษาติดตามพบว่า ชายที่ทำหมันชายเพื่อคุมกำเนิดนั้น มักจะอยู่ในช่วงอายุที่มีโอกาส เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งของลูกอัณฑะอยู่แล้ว และในรายงานทางการแพทย์ที่พบ มะเร็งลูก อัณฑะหลังทำหมันชายนั้น เป็นการตรวจพบหลังทำหมันชายแล้ว 3 เดือน เนื่องจากมีอาการ
ปวดถ่วงที่ลูกอัณฑะตลอดเวลา จึงมีการตรวจอย่างละเอียดและพบมะเร็งอัณฑะดังกล่าว
โดยสรุป
การทำหมันชายเพื่อการคุมกำเนิดนั้น จัดเป็นหัตถการการผ่าตัดที่ง่ายและได้ผลดีในการ คุมกำเนิดอย่างถาวร เทคนิคการผ่าตัดทำหมันชายใหม่ๆ ในปัจจุบัน ช่วยลดผลข้างเคียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นลงได้มาก ซึ่งอาจเป็นผลให้การทำหมันชายในวันข้างหน้าเป็นที่นิยมมากขึ้น เพศชาย ส่วนใหญ่มักจะคิดกังวลและมีความสับสนว่า การทำหมันชายเป็นการตอนตัดลูกอัณฑะออกทิ้ง จนไม่สามารถทำงานหนักได้เป็นปกติ และมีความเสื่อมถอยในสมรรถภาพทางเพศ การทำ ความเข้าใจและรับคำปรึกษาจากแพทย์ จะช่วยป้องกันความเข้าใจผิดเหล่านี้และลดความ กังวลลง จากการศึกษาวิจัยในอดีตกระทั่งปัจจุบันพบว่า การทำหมันชายยังเป็นวิธีการที่ ปลอดภัย และไม่มีผลเสียต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย