เบาหวานและการดูแลตัวเอง โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งในสภาวะปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานสูงขึ้น อันสืบเนื่องมาจากสภาวะแวดล้อม การดำรงชีวิตประจำวัน ทางโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่นได้เล็งเห็นความสำคัญ จึงได้จัดตั้งศูนย์เบาหวานขึ้น เพื่อตอบสอนงความต้อการของผู้มาใช้บริการ ซึ่งประกอบด้วยคณะแพทย์ โภชนากรและทีมงานผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคเบาหวานโดยเฉพาะ ซึ่งจะสามารถให้คำแนะนำและทำการรักษาโรคทางเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณหมอโรคเบาหวาน...แนะนำคนไข้ 1. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลในเลือดที่ได้จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปได้ตามปกติ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 180 mg/dl ซึ่งเป็นจุดที่ไตสามารถควบคุมน้ำตาลไม่ให้ออกมาในปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของคำว่า “ เบาหวาน” ซึ่งแปลว่าปัสสาวะที่มีรสหวาน ปัจจุบันเกณฑ์ในการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน ใช้อาศัยน้ำตาลในเลือดตอนเช้าหลังจากอดอาหารข้ามคืน มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 mg/dl ดังนั้นผู้ที่เป็นเบาหวานอาจตรวจไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะก็ได้
ร่างกายดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร ร่างกายคนเราจำเป็นต้องใช้พลังงานในการดำรงชีวิต พลังงานเหล่านี้ได้มาจากอาหารต่างๆ ที่เรารับประทานเข้าไป อาหารประเภทแป้งจะถูกย่อยสลายเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระเพาะอาหาร และถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดส่งผ่านไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่การที่ร่างกายจะนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานได้ จำเป็นต้องอาศัยฮอร์โมนจากตับอ่อน คือ อินซูลิน ทำหน้าที่เป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เราอาจจะแยกเบาหวานได้เป็นหลายประเภทตามสาเหตุที่เกิด 1. เบาหวานชนิดชนิดที่ 1 มักพบในเด็ก หรือคนอายุน้อย ประเภทนี้ตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่ได้ ต้องรักษาโดยการฉีดอินซูลิน อาการแรกพบมักจะรุนแรง น้ำตาลในเลือดสูง ร่วมกับร่างกายมีภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโตน โรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร 1. ประสิทธิภาพของฮอร์โมนอินซูลินลดลง ร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน รู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวาน 1. ตรวจพบได้ชัดเจน โดยการตรวจน้ำตาลในเลือดตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร 2 ครั้งขึ้นไป และทั้ง 2 ครั้งมีค่าเท่ากับ หรือมากกว่า 126 mg/dl อาการของคนเป็นเบาหวาน 1. อาจจะไม่มีอาการอะไรเลย เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่มาก * ปัสสาวะบ่อยและมาก ทั้งกลางวันและกลางคืน คนปกติมักจะไม่ต้องลุกมาปัสสาวะกลางดึก หรืออย่างมากก็ปัสสาวะ 1 ครั้ง แต่ในคนที่เป็นเบาหวาน เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินความสามารถของไตในการกั้นมิให้น้ำตาลออกมาในปัสสาวะ ซึ่งน้ำตาลที่ออกมาจะดึงน้ำออกมาด้วย ยิ่งน้ำตาลสูงมากเท่าใด ก็จะยิ่งปัสสาวะมากและบ่อยมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะกลางดึกหลายครั้ง ผู้ใดมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน 1. ผู้ที่มีประวัติเป็นเบาหวานในครอบครัว เช่น พ่อแม่ พี่น้องสายตรง คนในครอบครัวมีโอกาสเป็นเบาหวานมากขึ้น เมื่อเป็นเบาหวานแล้ว จะรักษาหายขาดได้หรือไม่ เบาหวานโดยทั่วไปไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และเมื่อเป็นเบาหวานนานๆ เข้า ความรุนแรงของโรคมักจะมากขึ้นและต้องใช้ยามากขึ้น ฉะนั้นจึงต้องรักษาเบาหวานตั้งแต่เมื่อพบว่ามีน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติเพียงเล็กน้อย เพื่อป้องกันเบต้าเซลล์ของตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินมิให้เสื่อมเร็ว ซึ่งจะชะลอหรือยับยั้งไม่ให้เบาหวานเป็นรุนแรงได้นานๆ เบาหวานเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ คนที่เป็นเบาหวานส่วนใหญ่จะไม่มีอาการเจ็บป่วย ไม่มีความไม่สบายกายแต่อย่างใดเป็นระยะเวลานาน จึงมักจะไม่อยากมาพบแพทย์ตามนัด หรือมาตรวจพบว่าเป็นเบาหวานได้รับยาไปครั้งหนึ่ง ครั้งต่อๆ ไปมักจะซื้อยากินเอง จึงมักพบว่าส่วนหนึ่งของผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมานานและไม่ควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติอย่างสม่ำเสมอจะเกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งเมื่อมีความรุนแรงมากขึ้นจะเกิดความเจ็บป่วยทรมานอย่างถาวร การดูแลสุขภาพทั่วไปในชีวิตประจำวัน 1. ควบคุมเบาหวาน ให้ระดับน้ำตาลใกล้เคียงคนปกติ สุขภาพตา ผู้ป่วยเบาหวานที่ระดับน้ำตาลในเลือดคุมได้ไม่ดี มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนทางตาได้ง่าย เช่น ต้อกระจก ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเร็วก่อนวัย การเสื่อมของจอรับสายตา จึงควรที่จะ 1. พบจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพตา จะตรวจโดยการขยายม่านตา แม้ว่าสายตายังมองเห็นชัดดี ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (มักพบในเด็ก หรือคนอายุน้อย) ควรเริ่มได้รับการตรวจตาเมื่อเป็นเบาหวานมาแล้ว 5 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (ส่วนใหญ่จะมีอายุมากกว่า 40 ปีและมักจะอ้วน ร่วมกับมีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัว) ควรได้รับการตรวจตาตั้งแต่เริ่มวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน การจะวัดสายตาประกอบแว่น ทั้งสายตาสั้นหรือยาวผิดปกติ ควรจะทำเมื่อควบคุมเบาหวานได้ดีแล้ว ถ้ามีอาการผิดปกติทางตา เช่น ตามัวทันที มีอาการปวดตามาก เห็นภาพ หรือเส้นลอยในตา ควรปรึกษาจักษุแพทย์ สุขภาพช่องปากและฟัน ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดเหงือกและฟันอักเสบมากกว่า และรุนแรงกว่าคนปกติ ขณะเดียวกันในผู้ป่วยที่มีโรคเหงือกและฟันอักเสบก็จะทำให้การควบคุมเบาหวานทำได้ยาก 1. ควรได้รับการตรวจสุขภาพช่องปาก ฟันและ จากทันตแพทย์ทุก 6 เดือน สุขภาพเท้า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้เกิดแผลที่เท้า คนไข้เบาหวานมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้าได้มากกว่าคนปกติจาก 1. การที่เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม จากน้ำตาลในเลือดสูงอยู่นานๆ ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเหยียบของมีคม หรือถูกกดรัดนานๆ หรือโดนความร้อน จึงทำให้เกิดแผลโดยไม่รู้ตัว
วิธีการดูแลเท้า 1. ล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำธรรมดาและสบู่อ่อนๆ ไม่ใช้แปรงหรือ ขนแข็งๆ ขัดเท้า ไม่ควรแช่เท้าด้วยน้ำร้อน ถ้าจะทำก็อาจใช้น้ำอุ่นน้อยๆ และไม่แช่นานเกิน 5 นาทีไม่ใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางบนขา หรือ เท้า การเลือกและการใช้รองเท้า 1. เลือกรองเท้าที่ขนาดพอเหมาะ ไม่คับหรือหลวมเกินไป ขนาดรองเท้ายาวกว่านิ้วเท้า ที่ยามที่สุดประมาณครึ่งนิ้ว ส้นไม่สูง รองเท้าที่มีแผ่นรองรับแรงกระแทกภายใน จะช่วยลดแรงกดในฝ่าเท้าได้ดี เช่น รองเท้ากีฬา แนวทางการบริโภคอาหารที่ดีในผู้ป่วยเบาหวาน เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เบาหวานเกิดจากความไม่สมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดกับจำนวนอินซูลินที่หลั่งออกมาจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อนเมื่อร่างกายมีระดับอินซูลินที่ไม่เหมาะสมกับระดับน้ำตาลในเลือด มีน้อยไปหรือออกฤทธิ์ไม่ดีเท่าที่ควรจึงเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ทั่วร่างกาย เช่น เบาหวานขึ้นตา เบาหวานลงไต หลอดเลือดแดงตีบและตัน ซึ่งทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคสมองขาดเลือด โรคปลายประสาทเสื่อม เป็นต้น เพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติ คนไข้เบาหวาน ควรจะเรียนรู้อาหารคาร์โบไฮเดรต 3 ประเภท 1) ประเภทต้องห้าม ได้แก่ - อาหารน้ำตาลและเบาหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สัขยา 2) ประเภทรับประทานได้ในปริมาณพอเหมาะ - อาหารพวกแป้ง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมจีน การเลือกรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตให้ได้คุณภาพ ควรคำนึงถึงปัจจัย 2 อย่าง คือ 1. ปริมาณใยอาหารที่มีอยู่ในอาหารนั้น ใยอาหาร จะทำให้การดูดซึมอาหารช้าลง จึงควรจะได้รับใยอาหารวันละประมาณ 40 กรัม
ไกลซีมิค อินเดกซ์ เป็นการวัดการดูดซึมของอาหารเปรียบเทียบกับอาหารมาตรฐานถ้าไกลซีมิค อินเดกซ์ มีค่าเท่ากับ 100 แสดงว่าดูดซึมได้เร็วเท่าอาหารมาตรฐาน ถ้าค่าต่ำกว่า 100 แสดงว่า อาหารนั้นดูดซึมช้า อาหารที่ควรรับประทานในคนเบาหวาน คือ อาหารที่มีไกลซีมิค อินเดกซ์ ต่ำ
* ข้อมูลจากหนังสือ การดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน พิมพ์คัร้งที่ 3 โครงการตำราอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิทยา ศรีดามา บรรณาธิการ * 3) ประเภทรับประทานได้ไม่จำกัดจำนวน ได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด ผักกาด ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ต้นหอม บวบ ใบโหระพา ใบสะระแหน่ แตงกวา แตงล้าน สายบัว พริกหนุ่ม เป็นต้น ปริมาณพลังงาน และอาหารที่ควรได้รับในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากเกือบครึ่งของคนไข้ประเภทนี้ มักจะมีภาวะโภชนาการเกิน และกินอาหารโดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่ดี ทำให้มีปัญหาในการรักษาน้ำหนักตัวระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด การลดพลังงานอาหารลงไปบ้าง โดยกำหนดให้ประมาณวันละ 20-25 แคลอรี่ ต่อ กิโลกรัมน้ำหนักตัวมาตรฐาน จะช่วยลดน้ำหนัก จะช่วยลดน้ำหนักตัวอย่างช้าๆ และคุมเบาหวานได้ดีขึ้น สัดส่วนของพลังงานอาหารที่เหมาะสม คือ
* อาหารโปรตีน ที่ควรจะได้รับควรเป็น โปรตีนที่มีคุณภาพดี และมีไขมันต่ำ ได้แก่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมันหรือหนัง ปลา เต้าหู้ ประมาณ 10-14 ช้นโต๊ะ/วัน
ข้อพึงปฏิบัติเกี่ยวกับการกินอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย (โภชบัญญัติ 9 ประการ) 1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินให้พอกับความต้องการของร่างกายและกินดี คือ แต่ละหมู่ให้หลากหลายไม่ซ้ำซากและจำเจ
|